ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

     มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองในผู้หญิงไทย โดยมักพบในวัยทำงาน และมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ยวันละ 13 คน สาเหตุหลักเกือบ 100% มาจากการติดเชื้อไวรัส HPV เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะอยู่ในระยะที่รักษาได้ยาก การตรวจคัดกรองเพื่อพบรอยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การฉีดวัคซีน HPV ยังเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีหลายวิธี ดังนี้:

​

1. การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear): เป็นวิธีดั้งเดิมที่แพทย์จะใช้ไม้แปรงเก็บเซลล์จากปากมดลูกลงบนแผ่นสไลด์เพื่อส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ

• ความแม่นยำ: ประมาณ 50-60% ควรตรวจซ้ำทุก 1 ปี

• ข้อดี: ขั้นตอนง่ายและค่าใช้จ่ายไม่สูง

• ข้อเสีย: หากมีมูกหรือเลือดอาจลดความแม่นยำในการตรวจ ไม่นิยในปัจจุบัน

 

2. การตรวจ Thin Prep (Liquid-Based Pap Smear): ใช้ไม้แปรงเก็บเซลล์และเก็บรักษาในน้ำยาคงสภาพ

• ความแม่นยำ: ประมาณ 70-80% ควรตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี

• ข้อดี: เก็บเซลล์ได้มากขึ้นและลดการรบกวนจากมูกหรือเลือด

• ข้อเสีย: ไม่สามารถตรวจหาเชื้อ HPV ได้

 

3. การตรวจหาเชื้อ HPV DNA (Primary HPV DNA Test): ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HPV

• ความแม่นยำ: ประมาณ 98-100% ควรตรวจซ้ำทุก 3-5 ปี

• ข้อดี: สามารถตรวจหาเชื้อ HPV ที่มีความเสี่ยงสูง 14 สายพันธุ์

• ข้อเสีย: ไม่สามารถตรวจลักษณะเซลล์ผิดปกติได้

 

4. การตรวจร่วม (Co-Testing): รวมการตรวจ Thin Prep และ HPV DNA

• ความแม่นยำ: ประมาณ 98-100% ควรตรวจซ้ำทุก 3-5 ปี

• ข้อดี: ครอบคลุมทั้งการตรวจเซลล์ผิดปกติและการติดเชื้อ HPV

• ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายสูง

 

5. การตรวจหาเชื้อ HPV ด้วยตนเอง (Self HPV Test): ผู้รับการตรวจเก็บตัวอย่างเอง

• ข้อดี: ไม่ต้องเข้ารับการตรวจภายใน ลดความเขินอาย

• ข้อเสีย: หากเก็บตัวอย่างไม่ถูกต้องอาจได้ผลที่ไม่แม่นยำ

 

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนควรใส่ใจ เพื่อสุขภาพที่ดีและการป้องกันโรคในระยะยาว